จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Ethernet Network (IEEE 802.3)


  หลักการพื้นฐานและความเป็นมา

          มาตรฐาน IEEE 802.3 ออกแบบมาสำหรับระบบเครือข่ายเฉพาะบริเวณแบบ CSMA/CD  ต้นกำเนิดของมาตรฐานนี้มาจากระบบอะโลฮ่า (Aloha)  ซึ่งได้รับการเพิ่มขีดความสามารถโดยบริษัท Xerox  เริ่มมาจากบริษัท Xerox ได้สร้างระบบเครือข่ายเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ 100 เครื่องในบริษัท โดยมีความยาวของเครือข่ายได้ถึง 1 กิโลเมตร และมีอัตราในการส่งข้อมูลถึง 2.94 Mbps ระบบนี้เรียกว่า อีเทอร์เน็ต (Ethernet


                  ใช้บน Topology แบบ BUS และแบบ  star ใช้หลักการส่งข้อมูลแบบ CSMA/CD ที่มีความเร็ว10Mbps หรือ 100 Mbps Fast Ethernet ( IEEE802.3u ) อาร์แวร์ที่ใช้จะต้องรองรับแบบใด แบบหนึ่ง หรือทั้งสองแบบ สำหรับการเดินสายสีญญาณมีดังนี้ 
               -10Base2 - Ethernet       specification for thin coaxial cable, transmits signalsat 10 Mbps (megabitsper second) with a distance limit of185 meters per segment.

           
  -10Base5 - Ethernet specification for thick coaxial cable, transmits signals   at 10Mbps (megabitsper second) with a distance limit of 500 meters per segment.












                   -10BaseF- Ethernet specification for fiber optic cable, transmits   signalsat 10  Mbps(megabitsper second) with a distance limit of 2000 meters per segment.
                 -10BaseT - Ethernet specification for unshielded twisted pair cable (category 3,4, or 5  )  ,transmits signals at10 Mbps ( megabitsper second) with a distance limit of 100metersper segment. 4, or 5  )  ,transmits signals at10 Mbps ( megabitsper second) with a distance limit of 100metersper segment. 
                 -100BaseT - Ethernet specification for unshielded twisted pair cablingthat  is used to transmit data at 100 Mbps (megabits per second) with a distance limit of 100 metersper segmentused to transmit data at 100 Mbps (megabits per second) with a distance limit of 100metersper segment
                 -100BaseTX - Ethernet specification for unshielded twisted pair cabling that is used to transmitdata at 1 Gbps (gigabits per second) with a distance limitation of 220 metersper segment 
used to transmitdata at 1 Gbps (gigabits per second) with a distance limitation of 220 metersper segment 



         การนำระบบอีเธอร์เน็ตมาใช้งานนั้นประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมาก บริษัท Xerox , DEC (Digital Equipment Corporation, Ltd.) และ Intel Corp ได้ร่วมกำหนดมาตรฐานอีเธอร์เน็ตที่ความเร็ว 10 Mbps ซึ่งเป็นพื้นฐานของ 802.3   
     ข้อแตกต่างที่สำคัญคือ มาตรฐาน IEEE 802.3 ได้กำหนดไว้ สำหรับการสื่อสารแบบ CSMA/CD ทำงานที่ความเร็ว 1 ถึง 10  Mbps บนสายสื่อสารชนิดต่างๆ  เช่น กำหนดค่าตัวแปรไว้สำหรับสื่อสารที่ความเร็ว 10 Mbps  บนสายโคแอกซ์ (Coaxial ) ขนาด 50 โอ์ห์มเท่านั้น  ค่าตัวแปรสำหรับตัวเลือกอื่นๆ ได้รับการกำหนดเพิ่มเติมในภายหลัง


IEEE 802.3 Ethernet

             สำหรับมาตรฐาน 802.3 จะอธิบายถึง LAN ทั้งหมดที่ใช้หลักการของ CSMA/CD (Carrier Sense Multiple Access with Collision Detection) ที่มีอัตราการส่งข้อมูลตั้งแต่ 1 Mbps ถึง 100 Mbps และใช้สายส่งชนิดต่างๆ นอกจากนี้มาตรฐาน IEEE 802.3 และอีเทอร์เน็ตยังมีบางส่วนของส่วนหัวของข้อมูล (Header) แตกต่างกันบ้าง (ฟิลด์ความยาวของ IEEE 802.3 ถูกใช้บ่งบอกชนิดของ Packet ในมาตรฐานอีเทอร์เน็ต)

                              ดังนั้นจะเห็นได้ว่ามาตรฐาน IEEE 802.3 จะอธิบายถึง LAN ที่ใช้วิธีส่งข้อมูลแบบ CSMA/CD ส่วนอีเทอร์เน็ตนั้นจะหมายถึงผลิตภัณฑ์ชนิดหนึ่งของแลนแบบ IEEE 802.3
        LAN แบบนี้ส่งข้อมูลโดยใช้หลักการคล้ายๆกับการสนทนาระหว่างบุคคลหลายคน        หากใครต้องการพูดก็สามารถพูดออกมาได้ในจังหวะที่ไม่มีคนอื่นพูด(เงียบ) แต่ก็อาจเป็นไปได้ที่บุคคล 2 คนจะพูดออกมาพร้อมๆกัน ทำให้เกิดการชนกันของเสียงพูด เมื่อเป็นเช่นนั้นทั้งสองคนจะต้องหยุดพูดทันที แล้วรอจังหวะที่จะพูดใหม่อีกครั้ง ซึ่งหากใครพูดก่อนก็จะสามารถพูดได้ และบุคคลอื่นๆจะต้องฟังอย่างเดียว 

                   วิธีการรับส่งข้อมูลของแลน IEEE 802.3 ซึ่งเป็นแบบ CSMA/CD ก็ทำงานในลักษณะเดียวกัน คือ โหนดใดที่ต้องการส่งข้อมูลลงในสื่อกลางการส่งข้อมูล จะตรวจสอบดูสัญญาณในสื่อกลาง ถ้าหากสื่อกลางในการส่งข้อมูลว่างก็จะทำการส่งข้อมูลได้ทันที แต่หากโหนดตั้งแต่ 2 โหนดขึ้นไปส่งข้อมูลลงไปในสื่อกลางพร้อมๆกัน สัญญาณข้อมูลจะเกิดการชนกันขึ้น ทุกๆสถานีจะต้องหยุดการส่งข้อมูลแล้วรอเวลา ซึ่งช่วงเวลาของการรอแต่ละครั้งจะทำการสุ่มขึ้นมา (Random Time) หลังจากหมดเวลารอแล้วก็จะทำการตรวจสอบสัญญาณในสื่อกลางเพื่อส่งข้อมูลลงไปใหม่อีก 


                            เมื่อเกิดการชนกันของสัญญาณข้อมูลแล้ว เวลาจะถูกแบ่งออกเป็นช่องๆ (slots) แต่ละช่องมีช่วงเวลา 51.2 ไมโครวินาที (นั่นคือเวลาสถานีที่ส่งข้อมูลรู้ว่าเกิดการชนกันของข้อมูลหรือไม่ สำหรับความยาวของแลน 2,500 เมตร อัตราการส่งข้อมูล 10 Mbps) หลังจากการชนกันครั้งแรก แต่ละสถานีจะสร้างตัวเลขสุ่ม (Random) ที่มีค่า 0 หรือ 1 (เลขสุ่ม 2^1 ค่า)

  • สถานีที่ได้ค่า 0 จะส่งข้อมูลออกไปในช่องเวลา 0 และสถานีที่ได้ค่า 1 จะส่งข้อมูลในช่องเวลาที่ 1 หากสองสถานีได้ค่าเลขสุ่มเดียวกันและส่งข้อมูลภายในช่องเวลาเดียวกัน จะเกิดการชนกันอีกครั้ง 

       หลังจากการชนกันครั้งที่ 2  แต่ละสถานีจะสร้างตัวเลขสุ่มที่มีค่า 0,1,2, หรือ 3 (นั่นคือเลขสุ่ม 2^2 ค่า) แล้วส่งข้อมูลภายในช่องเวลาของตนเอง หากชนกันอีกก็จะสร้างเลขสุ่มจำนวน 2^3 ค่า กล่าวคือหลังจากการชนกัน i ครั้ง แต่ละสถานีก็จะมีการสร้างเลขสุ่มตั้งแต่ค่า 0 ถึง 2^i-1 ค่า และสถานีก็จะส่งข้อมูลภายในช่องเวลาของตนเอง กระบวนการในการแก้ไขการชนกันของข้อมูลแบบนี้เรียกว่า Binary Exponential Back off ซึ่งจะเห็นได้ว่ากระบวนการนี้ทำให้โอกาสในการที่จะเกิดการชนกันของข้อมูลมีน้อยลง เมื่อจำนวนครั้งของการชนกันของข้อมูลมากขึ้น

     
                IEEE แบ่ง  IEEE 802.3  เป็น 2 กลุ่มคือ baseband และ broadband พิจารณาจากลักษณะของสัญญาณไฟฟ้าที่ส่งลงไปในสาย

  • Baseband   ใช้สัญญาณแบบ digital สำหรับสื่อสารในสาย มี 5 มาตรฐานคือ 10Base5,  10Base2,  10Base-T,  1Base5 และ 100Base-T
  • Broadband  ใช้สัญญาณแบบ analog สำหรับสื่อสารในสาย มีมาตรฐานเดียวคือ 10Broad36


    IEEE 802.3 Ethernet

     การทำงานและหน้าที่ของ MAC

              ส่วนประกอบของเฟรมข้อมูลของ Ethernet Preamble  มีความยาว 7 ไบต์ แต่ละไบต์จะมีข้อมูลเหมือนกันหมดคือ 10101010  มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้รับได้มีโอกาสรู้และเทียบสัญญาณนาฬิกาของตนเองกับผู้ส่งให้ตรงกัน Start of frame  มีความยาว 1 ไบต์  (10101011)  สำหรับบอกเครื่องรับ ระบุจุดเริ่มต้นของเฟรม  โดยไบต์ถัดจากนี้เป็นต้นไป คือ ข้อมูล

                    Source  address and Destination address คือ ที่อยู่ของผู้ส่ง และที่อยู่ของผู้รับ มีขนาดอย่างละ 6 ไบต์       IEEE  มีหน้าที่ในการกำหนดที่อยู่สากล (global address) ซึ่งมีขอบเขตการใช้งานได้ทั่วโลก Length มีความยาว 2 ไบต์ ใช้บอกความยาวของข้อมูลมูลจริงที่ถูกใส่มาในเฟรมนั้น มีค่าต่ำสุด เป็น 0 ไบต์ และสูงสุดไม่เกิน 1,500 ไบต์ มาตรฐาน 802.3 กำหนดให้ทุกเฟรมจะต้องมีความยาวไม่น้อยกว่า 64 ไบต์  หากข้อมูลจริงมีความยาวไม่ถึง 64 ไบต์  จะใช้ส่วน pad เพิ่มเติม Pad  มีไว้สำหรับเติมข้อมูลหลอก (dummy) เพื่อให้มีขนาดของเฟรมไม่น้อยกว่า 64 ไบต์ Checksum   มีขนาด 4 ไบต์  มีไว้สำหรับการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่รับได้  ถ้าเกิดการผิดพลาดขึ้นในระหว่างการนำส่งข้อมูลในส่วนนี้จะช่วยให้ตรวจพบความผิดพลาดนี้ได้ เช่น CRC (Cyclic redundancy)
             

     การเชื่อมต่อและชนิดของเครือข่าย Ethernet

          คำว่า “Ethernet” นั้นอันที่จริงมีความหมายเกี่ยวข้องโดยตรงกับสายสื่อสาร  จากรูป แสดงคุณสมบัติของสายสื่อสาร 4 ชนิด ที่นิยมใช้กันทั่วไป ประเภทของสายสื่อสารที่ใช้กันทั่วไปสำหรับมาตรฐาน 802.3







    การแบ่งเซกเมนต์ของ Ethernet


    ระยะต่างๆ ของการติดตั้งเครือข่าย Ethernet จะขึ้นอยู่กับมาตรฐาน โดยประกอบด้วย

    • ระยะห่างระหว่างเครื่อง
    • ความยาวเซกเมนต์ 
    • ความยาวสูงสุด 
    • จำนวนเครื่องสูงสุด




    10Base5: Thick Ethernet
    10Base5: Thick Ethernet

    • แต่ละเซกเมนต์ยาวไม่เกิน 500 เมตร
    • ความยาวรวมทุกเซกเมนต์ไม่เกิน 2500 เมตร
    • มีจำนวนเครื่องสูงสด 200 เครื่องในแต่ละเซกเมนต์ และทั้งหมดไม่เกิน 1000 เครื่อง
    • ใช้สาย RG-8 เป็นสายหลักของเซกเมนต์
    • การต่อไปยังเครื่องใช้ Transceiver ต่อออกจากสายหลัก หรือเรียกอุปกรณ์เหล่านี้ว่า Medium Attachment Unit (MAU)
    • ใช้สาย AUI ต่อจาก MAU ไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์




    10Base2: Thin Ethernet
    10Base2: Thin Ethernet

    • แต่ละเซกเมนต์ยาวไม่เกิน 185 เมตร-ใช้สาย RG-58 เป็นสายหลักของเซกเมนต์-การต่อไปยังเครื่องใช้  BNC-T connector และต่อตรงเข้ากับแผ่นวงจรเครือข่ายของเครื่องคอมพิวเตอร์








    10Base-T:Twisted-Pair Ethernet

    10Base-T: Twisted-Pair Ethernet
    • สายแต่ละเส้นที่ต่อออกจากอุปกรณ์กระจายสัญญาณยาวไม่เกิน 100 เมตร
    • ใช้สาย UTP เป็นสายหลักของเซกเมนต์
    • เข้าหัวสายด้วยหัวต่อ RJ-45










    1Base5: StarLAN


    1Base5: StarLAN
    • เป็นผลิตภัณฑ์ของ AT&T
    • มีความเร็ว 1 Mbps
    • เพิ่มขนาดของเครือข่ายแบบ Daisy chain
    • ใช้สาย UTP  




     





    Fast Ethernet (IEEE 802.3u)

    •  เนื่องจากในปัจจุบันมัลติมีเดียได้มีการใช้งานกันมาก จึงมีความต้องการเครือข่ายความเร็วสูงในการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน กลุ่มคณะทำงานของ IEEE จึงตัดสินใจที่จะปรับปรุงมาตรฐาน 802.3 ให้สามารถ รับส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงขึ้น ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานที่เรียกว่า 802.3u ซึ่งเรียกกันโดยทั่วไปว่า Fast Ethernet  
    • Fast Ethernet  อีเทอร์เน็ตรูปแบบหนึ่งที่มีความเร็วสูงถึง 100 Mbps รูปแบบของเฟรมข้อมูล หรือการควบคุมการชนกันของข้อมูลไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากอีเทอร์เน็ตปกติ เพียงแต่ลดเวลาการส่งข้อมูลของแต่ละบิตจาก นาโนวินาที เป็น 10 นาโนวินาที จึงทำให้อัตราการส่งข้อมูลสูงขึ้น 10 เท่าจากเดิม
    • เป็น Ethernet ความเร็ว 100 Mbps
    • มีขนาดเฟรมน้อยที่สุด 72 Bytes
    • ใช้ Topology แบบ Star
    • มี 3 มาตรฐานย่อย คือ

    v100Base-TX  ใช้สาย UTP แบบ CAT-5 หรือ STP จำนวน 2 คู่
    v100Base-FX  ใช้สายใยแก้วนำแสง มีระยะทางไม่เกิน 2000 เมตร

    v100Base-T4  ใช้สาย UTP แบบ CAT-3 จำนวน 4 คู่           











    Gigabit Ethernet (IEEE 802.3g)

    • เป็น Ethernet ความเร็ว 1000 Mbps
    • ใช้ Topology แบบ Star
    • มี 4 มาตรฐานย่อย คือ

    v1000Base-T    ใช้สาย UTP มีระยะสาย 25 เมตร
    v1000Base-CX  ใช้สาย STP มีระยะสาย 25 เมตร
    v1000Base-SX  สัญญาณแสงแบบ Short-wave Laser มีระยะสาย 550 เมตร ใช้สายใยแก้วนำแสงแบบ multimode
    v1000Base-LX สัญญาณแสงแบบ Long-wave Laser มีระยะสาย 550 เมตร สำหรับสายใยแก้วนำแสงแบบ multimode  และระยะสาย 5000 เมตร สำหรับสายใยแก้วนำแสงแบบ single mode












    ไม่มีความคิดเห็น:

    แสดงความคิดเห็น